จาก SLA สู่ XLA (Experience Level Agreements) เมื่อ "ประสิทธิภาพ" ไม่ใช่คำตอบเดียวสำหรับ "ประสบการณ์" ที่ดีเยี่ยม

ในโลกของการจัดการบริการด้านไอที (ITSM) ที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว แนวคิดเรื่อง Experience Level Agreements (XLAs) ได้กลายเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจอย่างมาก XLAs ถือเป็นการพลิกโฉมข้อตกลงระดับบริการแบบดั้งเดิม (SLAs) โดยเปลี่ยนจุดเน้นจากการวัดประสิทธิภาพทางเทคนิคไปสู่การวัดและปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้งาน

จาก SLA สู่ XLA (Experience Level Agreements) เมื่อ "ประสิทธิภาพ" ไม่ใช่คำตอบเดียวสำหรับ "ประสบการณ์" ที่ดีเยี่ยม
Freshservice Promotion - 2025Q2
คลิกเพื่ออ่านรายละเอียด

XLAs คืออะไร?

โดยพื้นฐานแล้ว XLAs คือ ข้อตกลงที่มุ่งเน้นผลลัพธ์จากประสบการณ์การใช้บริการด้านไอที แทนที่จะเป็นข้อตกลงตามแบบแผนที่เข้มงวดเหมือน SLAs ซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับบทลงโทษ XLAs กลับให้ความสำคัญกับการทำงานเพื่อบรรลุผลลัพธ์ที่ต้องการ Pasi Nikkanen และ Sami Kallio ผู้เขียนจาก HappySignalsได้รวบรวมคำจำกัดความที่หลากหลายจากองค์กรต่างๆ ทั่วโลกเพื่ออธิบายพื้นฐานของ XLAs

 

หลายบริษัทได้ให้คำจำกัดความของ XLAs ที่เน้นย้ำถึงลักษณะที่สำคัญของมัน:

  • Giarte (เนเธอร์แลนด์) ผู้ที่ถูกกล่าวว่าเป็น “ผู้บุกเบิก” หรือ “ผู้ให้กำเนิด” คำนี้ อธิบายว่า XLA เป็น “แนวทางและไม่ใช่เอกสารทางกฎหมาย” โดยเน้นย้ำว่า XLA ให้ความสำคัญกับการทำงานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ
  • Deptive (นิวซีแลนด์) ชี้ให้เห็นว่า XLAs เปลี่ยนจุดสนใจไปที่ “ประสบการณ์ของพนักงาน” เพื่อค้นพบว่าพนักงานรู้สึกอย่างไรกับการใช้เทคโนโลยีจริงๆ และเปลี่ยนจากการตรวจสอบบริการและการลงโทษไปสู่การปรับปรุงบริการอย่างต่อเนื่องโดยใช้ความคิดเห็นของพนักงานและข้อมูลจริง
  • Alan Nance จาก Experience Collab มองว่า XLAs ให้ความสำคัญกับ “ผลลัพธ์ที่เป็นตัวกำหนดประสบการณ์ผู้บริโภค” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการออกแบบบริการ และแตกต่างจาก SLAs ที่สะท้อนมุมมองการส่งมอบบริการเป็นหลัก
  • Hannah Price จาก TOPdesk อธิบายว่า XLA คือ “ในท้ายที่สุด ลูกค้ามีความรู้สึกอย่างไรกับการได้รับการปฏิบัติ”
  • FreshService เสริมคำจำกัดความนี้โดยอ้างว่าประสบการณ์และความรู้สึกมีน้ำหนักมากกว่าตัวชี้วัด SLA
  • Lakeside Software ระบุว่า XLAs เป็นสัญญาที่กำหนดขึ้นระหว่างผู้ให้บริการและลูกค้า แต่เน้นที่คุณภาพประสบการณ์ของพนักงานกับบริการของผู้ให้บริการ
  • Sami Kallio, CEO ของ HappySignals สรุปว่า “SLAs วัดกระบวนการ – XLAs วัดผลลัพธ์และคุณค่า”

 

โดยสรุปแล้ว XLAs ส่วนใหญ่ถูกนิยามว่า มุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์ ความรู้สึก หรือประสบการณ์ มากกว่ากระบวนการ ความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง SLAs และ XLAs คือ XLAs มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้ปลายทาง ไม่ว่าจะเป็นผ่านการออกแบบ การจัดการบริการ หรือประสบการณ์การบริการ

 

ทำไม XLAs จึงมีความสำคัญ?

XLAs มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจและปรับปรุงการดำเนินงานด้านไอที:

  • ปรับปรุงความพึงพอใจของลูกค้าและพนักงาน: โดยการให้ความสำคัญกับประสบการณ์ผู้ใช้งาน XLAs สามารถนำไปสู่ลูกค้าและพนักงานที่มีความสุขและพึงพอใจมากขึ้น
  • เพิ่มแรงจูงใจของพนักงาน: ประสบการณ์ลูกค้าในเชิงบวกสามารถส่งผลดีต่อขวัญและกำลังใจของพนักงาน
  • สร้างมูลค่าทางธุรกิจ: ประสบการณ์ที่ดีขึ้นทั้งสำหรับลูกค้าและพนักงานสามารถนำไปสู่การเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจและความสำเร็จในท้ายที่สุด
  • แก้ไข “Watermelon Effect” ใน IT: ปรากฏการณ์ “แตงโม” คือเมื่อตัวชี้วัด KPI และ SLA เป็น “สีเขียว” (แสดงว่าดี) แต่ผู้ใช้ปลายทางกลับมีประสบการณ์ที่ไม่ดี (“สีแดง”) XLAs ช่วยแก้ไขปัญหานี้โดยการมุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์จริงของผู้ใช้
  • สร้างจุดมุ่งเน้นร่วมกันสำหรับ IT: XLAs ช่วยให้ทีมไอทีมีเป้าหมายร่วมกันในการปรับปรุงประสบการณ์
  • ส่งเสริมการจัดการบริการเชิงรุก: XLAs กระตุ้นให้องค์กรใช้แนวทางเชิงรุกในการจัดการบริการ โดยใช้ตัวชี้วัดประสบการณ์เพื่อคาดการณ์ปัญหาและแก้ไขก่อนที่จะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้

ตัวชี้วัด XLA มีลักษณะอย่างไร?

ตัวชี้วัด XLA แตกต่างจากตัวชี้วัด SLA ที่เป็นรูปธรรม HappySignals วัดสองสิ่งเป็นหลัก:

  1. ความสุขของผู้ใช้ปลายทาง หลังจากการเกิดเหตุการณ์หรือคำขอบริการแต่ละครั้ง โดยเน้นที่การรับรู้ประสบการณ์จากบริการไอทีของผู้ใช้ปลายทาง
  2. เวลาที่รับรู้ว่าสูญเสียไป เนื่องจากปัญหาหรือคำขอที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งวัดประสิทธิภาพของบริการ

 

ตัวอย่างตัวชี้วัด XLA ที่ Hannah Price เสนอคือ “การรักษาระดับความพึงพอใจในการปิดการโทรให้อยู่ที่ 4.5 จาก 5 ดาว” Giarte แนะนำว่าตัวชี้วัด XLA ควรเน้นหลายด้าน เช่น การทำงานเชิงรุกของบริการ ความสามารถในการช่วยลูกค้าเร่งเวลาออกสู่ตลาด จำนวนข้อมูลเชิงลึกที่เกี่ยวข้อง ระดับความรู้ของพนักงาน และคุณภาพโดยรวมของบริการที่ให้

Mint Service Desk เน้นตัวชี้วัดที่ขับเคลื่อนด้วยผู้ใช้ปลายทาง เช่น:

  • ความพึงพอใจของผู้ใช้ (CSAT): วัดความพึงพอใจของผู้ใช้กับการโต้ตอบหรือบริการเฉพาะ
  • Net Promoter Score (NPS): ประเมินแนวโน้มที่ผู้ใช้จะแนะนำบริการของคุณ
  • User Effort Score (UES): ประเมินว่าผู้ใช้บรรลุเป้าหมายได้ง่ายเพียงใด
  • ความรู้สึกทางอารมณ์: จับภาพการตอบสนองทางอารมณ์ของผู้ใช้ เช่น ความหงุดหงิด ความสุข หรือความเป็นกลาง

 

XLA เทียบกับ SLA: การเปรียบเทียบ

ความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่าง XLAs และ SLAs คือ:

XLA เทียบกับ SLA: การเปรียบเทียบ

การพึ่งพา SLAs เพียงอย่างเดียวสามารถทำให้เกิด “Watermelon Effect” ซึ่งตัวชี้วัดบ่งชี้ว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี แต่ผู้ใช้ปลายทางกลับมีประสบการณ์ที่ไม่ดี Ahmed Al Hadidi จาก Pepsico ถึงกับกล่าวว่า ถ้าองค์กรของคุณใช้แค่ SLAs ตัวย่อนี้หมายถึง “Secrets, Lies and Assumptions” (ความลับ คำโกหก และข้อสันนิษฐาน) เพราะคุณไม่เข้าใจจริงๆ ว่าผู้ใช้ปลายทางของคุณกำลังประสบอะไรอยู่

 

การนำ XLAs ไปใช้: แนวทางทีละขั้นตอน

การนำ XLAs มาใช้ต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนเครื่องมือหรือวิธีการวัดผล HappySignals แนะนำแนวทางทีละขั้นตอนเพื่อรับประกันผลลัพธ์ที่รวดเร็ว:

  1. การวัดผลอย่างต่อเนื่อง: เป็นรากฐานสำคัญของการจัดการประสบการณ์ ข้อมูลประสบการณ์ควรถูกรวบรวมอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ปีละครั้งหรือตามโอกาส และควรวัดในเวลาที่เหมาะสม
  2. ความโปร่งใส: ควรแบ่งปันข้อมูลประสบการณ์กับทีม พนักงาน และพันธมิตร เพื่อสร้างความไว้วางใจและเป้าหมายร่วมกันในการปรับปรุง IT
  3. การระบุและปรับปรุงสิ่งที่สำคัญที่สุด: XLAs ควรใช้เพื่อระบุปัญหาและโอกาสในการปรับปรุง โดยอาศัยข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลแทนความรู้สึกส่วนตัว
  4. การกำหนดเป้าหมายประสบการณ์: จากข้อมูลที่รวบรวมมา ควรตั้งเป้าหมายที่มุ่งเน้นผู้ใช้ปลายทางและคุณค่าที่เป้าหมายเหล่านั้นจะนำมาให้
  5. การใช้ XLAs ควบคู่กับ SLAs: ไม่จำเป็นต้องยกเลิก SLAs โดยสิ้นเชิง องค์กรส่วนใหญ่ใช้ทั้ง XLAs และ SLAs ควบคู่กันไป โดย XLAs วัดประสบการณ์และผลลัพธ์ และ SLAs วัดผลผลิต

สิ่งสำคัญคือต้องหลีกเลี่ยงการสร้าง XLAs ในลักษณะเดียวกับ SLAs และต้องมีการมีส่วนร่วมจากผู้ใช้ปลายทางในการอภิปราย XLA

 

บทบาทของการจัดการประสบการณ์ด้านไอที (ITXM)

XLAs เป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพรวมที่ใหญ่กว่า นั่นคือ การจัดการประสบการณ์ด้านไอที (IT Experience Management – ITXM) ITXM คือกระบวนการที่ครอบคลุมในการวัดผล แบ่งปัน และจัดการข้อมูลประสบการณ์เพื่อระบุพื้นที่สำคัญที่สามารถปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้ปลายทางและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอกได้

 

ITXM Framework™ เป็นแนวทางที่ได้รับการพิสูจน์แล้วในการเปลี่ยนขีดความสามารถด้านไอทีขององค์กรให้เป็นแบบที่เน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลาง โดยมีวงจรต่อเนื่อง 4 ขั้นตอน:

  1. วัดประสบการณ์ (Measure Experiences): รวบรวมความคิดเห็นของผู้ใช้ปลายทางอย่างต่อเนื่อง
  2. แบ่งปันข้อมูลประสบการณ์ (Share the Experience Data): ทำให้ข้อมูลประสบการณ์โปร่งใสกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด
  3. ระบุการปรับปรุง (Identify Improvements): ใช้ข้อมูลเพื่อระบุปัญหาและโอกาสในการปรับปรุง
  4. ปรับปรุงสิ่งที่สำคัญที่สุด (Improve what matters most): ดำเนินการเปลี่ยนแปลงที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้และประสิทธิภาพการทำงาน

Freshworks และบทบาทในการสนับสนุน XLA

Freshworks XLA (Experience Level Agreement) เป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นการวัดและปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าและพนักงาน แทนที่จะเป็นเพียงการส่งมอบบริการทางเทคนิคเหมือน SLAs แบบดั้งเดิม

Freshworks ช่วยสนับสนุน XLAs โดยเน้น:

  • การมุ่งเน้นที่ประสบการณ์: เปลี่ยนจุดเน้นจากการทำตามข้อกำหนดทางเทคนิคไปสู่การสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่เป็นบวกและน่าพึงพอใจ
  • การวัดผลแบบอัตนัย: XLAs ของ Freshworks ตระหนักดีว่าประสบการณ์ของลูกค้าเป็นเรื่องส่วนตัว โดยมุ่งเน้นที่ตัวชี้วัด เช่น ความพึงพอใจของลูกค้า ความรู้สึก และการรับรู้
  • เป้าหมายประสิทธิภาพ: แม้ว่าจะเป็นเรื่องอัตนัย แต่ Freshworks XLAs ยังคงต้องการเป้าหมายประสิทธิภาพสำหรับทีมบริการและธุรกิจเพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพและระบุพื้นที่ที่ต้องปรับปรุง
  • การเชื่อมโยง, ขยาย และเป็นทางเลือก: Freshworks XLAs สามารถเชื่อมโยงตัวชี้วัดประสบการณ์ที่หลากหลายเข้าด้วยกัน ขยายขอบเขตของการวัดผล หรือแม้กระทั่งถูกมองว่าเป็นทางเลือกแทน SLAs แบบดั้งเดิม
  • มูลค่าทางธุรกิจ: Freshworks ส่งเสริมแนวคิดที่ว่า XLAs นำไปสู่ความพึงพอใจของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น แรงจูงใจของพนักงานที่ดีขึ้น และมูลค่าทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้น
  • Total Experience (CX+EX): XLAs เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดที่กว้างขึ้นของ Freshworks ที่เรียกว่า Total Experience (CX+EX) ซึ่งมีเป้าหมายในการปรับปรุงประสบการณ์ทั้งของลูกค้าและพนักงาน

 

ตัวอย่างจาก Freshworks:

หากทีมบริการลูกค้ากำลังพยายามแก้ไขปัญหาของลูกค้า SLA อาจเน้นที่เวลาที่ใช้ในการแก้ไขปัญหา แต่ XLA จะพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น การรับรู้ของลูกค้าเกี่ยวกับวิธีแก้ไข ความเห็นอกเห็นใจที่แสดงโดยตัวแทน และคุณภาพโดยรวมของการโต้ตอบ โดยสรุป Freshworks XLAs เป็นวิธีการวัดและปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าและพนักงาน โดยเน้นที่ คุณค่าและการรับรู้คุณภาพของบริการ แทนที่จะเป็นเพียงการส่งมอบบริการทางเทคนิค

สอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Freshworks: ITSM & ESM ติดต่อได้ที่:

Sundae Solutions Co., Ltd.

T| +6626348899  E| sales@sundae.co.th

W| https://www.sundae.co.th/solution/crm-and-customer-experience/freshworks/

DISPL 2