Beyond the Purchase: กลยุทธ์สร้าง Engagement ที่เปลี่ยนลูกค้าให้เป็นแฟนพันธุ์แท้ตลอดไป
ในสมรภูมิธุรกิจดิจิทัลที่ต้นทุนการหาลูกค้าใหม่ (Customer Acquisition Cost – CAC) พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การทุ่มงบประมาณและทรัพยากรส่วนใหญ่ไปที่การ “ปิดการขาย” เพียงอย่างเดียว คือความผิดพลาดเชิงกลยุทธ์ที่องค์กรชั้นนำกำลังเร่งแก้ไข “ทองคำ” ที่แท้จริงในการสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนไม่ได้อยู่ ณ จุดสิ้นสุดของ Sales Funnel แต่อยู่ในพื้นที่ที่มักถูกละเลย นั่นคือ “ช่วงเวลาหลังการขาย” (Post-Purchase Phase) บทความนี้จะนำเสนอพิมพ์เขียวเชิงกลยุทธ์สำหรับการสร้าง Customer Engagement ที่ก้าวข้ามการซื้อขายธรรมดาไปสู่การสร้างความภักดีตลอดชีพ (Lifetime Loyalty) และการสนับสนุนแบรนด์อย่างจริงใจ (Advocacy) โดยชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยี Customer Engagement Platform อย่าง SAP Emarsys ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือ แต่เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนกลยุทธ์นี้ให้เกิดขึ้นจริง สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) อย่างมหาศาล

The Strategic Imperative – เหตุใด “หลังการขาย” จึงกลายเป็นสมรภูมิที่สำคัญที่สุด
เป็นเวลาหลายทศวรรษที่นักการตลาดถูกสอนให้หมกมุ่นกับ “Top of the Funnel” เราเฉลิมฉลองให้กับยอดขายใหม่ๆ แต่กลับเงียบงันเมื่อลูกค้าเหล่านั้นไม่เคยกลับมาซื้อซ้ำ นี่คือความจริงที่น่าอึดอัดใจในโลกธุรกิจ:
- เศรษฐศาสตร์ที่ไม่เข้าข้าง: ผลวิจัยจาก Bain & Company และ Harvard Business School ชี้ตรงกันว่าการรักษาลูกค้าเก่าไว้ได้เพียง 5% สามารถเพิ่มผลกำไรให้บริษัทได้ตั้งแต่ 25% ไปจนถึง 95% ในทางกลับกัน การหาลูกค้าใหม่มีต้นทุนสูงกว่าการรักษาลูกค้าเก่าถึง 5-25 เท่า ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่แค่สถิติ แต่คือสัญญาณเตือนว่าองค์กรที่ยังคงมี “ถังรั่ว” (Leaky Bucket) หรือมีอัตราการเลิกใช้ของลูกค้า (Churn Rate) สูง กำลังสูญเสียเงินทุนไปอย่างเปล่าประโยชน์
- มูลค่าตลอดอายุของลูกค้า (Customer Lifetime Value – LTV): ลูกค้าที่กลับมาซื้อซ้ำไม่ได้สร้างแค่ยอดขายในครั้งนั้นๆ พวกเขามีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายมากขึ้นในแต่ละครั้ง มีความอ่อนไหวต่อราคาน้อยลง และที่สำคัญที่สุดคือ พวกเขาคือแหล่งอ้างอิงและการตลาดแบบปากต่อปาก (Word-of-Mouth) ที่ดีที่สุด การเปลี่ยนโฟกัสจากยอดขายต่อครั้ง (Transactional Value) มาสู่ LTV คือการเปลี่ยนมุมมองจากการคิดสั้น มาสู่การสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว
- ความคาดหวังที่เปลี่ยนไป: ลูกค้ายุคใหม่ไม่ได้ซื้อแค่สินค้าหรือบริการ แต่พวกเขาซื้อ “ประสบการณ์” และ “ความสัมพันธ์” พวกเขาคาดหวังว่าแบรนด์จะรู้จักพวกเขา เข้าใจความต้องการของพวกเขา และดูแลพวกเขาอย่างต่อเนื่องหลังการขาย แบรนด์ที่ไม่สามารถตอบสนองความคาดหวังนี้ได้ จะถูกลืมอย่างรวดเร็ว
การลงทุนในกลยุทธ์ “Beyond the Purchase” จึงไม่ใช่ทางเลือก แต่คือความจำเป็นเชิงกลยุทธ์เพื่อความอยู่รอดและการเติบโตในทศวรรษหน้า
The Post-Purchase Journey – ถอดรหัสเส้นทางสร้าง “แฟนพันธุ์แท้”
การเดินทางของลูกค้าไม่ได้สิ้นสุดลงที่หน้า “Thank You Page” แต่นั่นคือจุดเริ่มต้นของเฟสที่สำคัญที่สุด ซึ่งเราสามารถแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนหลักดังนี้:
- ขั้นของการปรับตัวและเริ่มต้นใช้งาน (Adoption & Onboarding):
- เป้าหมาย: ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าพวกเขา “ตัดสินใจถูก” ที่เลือกซื้อสินค้าหรือบริการของคุณ และช่วยให้พวกเขาได้รับคุณค่าจากผลิตภัณฑ์ได้เร็วและง่ายที่สุด
- ความท้าทาย: ความสับสนในการใช้งาน, ความรู้สึกถูกทอดทิ้งหลังการขาย (Post-purchase dissonance)
- กลยุทธ์: การสื่อสารต้อนรับ, คู่มือการใช้งาน, วิดีโอสาธิต, การให้คำแนะนำเชิงรุก
- ขั้นของการรักษาความสัมพันธ์ (Retention):
- เป้าหมาย: ทำให้แบรนด์ของคุณยังคงอยู่ในใจของลูกค้า (Top-of-Mind) และสร้างนิสัยการกลับมามีปฏิสัมพันธ์หรือซื้อซ้ำ
- ความท้าทาย: การแข่งขันจากคู่แข่ง, การลืมแบรนด์, การขาดความเกี่ยวข้อง
- กลยุทธ์: การสื่อสารที่สม่ำเสมอและมีคุณค่า, โปรแกรมสะสมคะแนน, การมอบสิทธิพิเศษ, การสร้างคอนเทนต์ที่เป็นประโยชน์
- ขั้นของการต่อยอดและขยายผล (Expansion):
- เป้าหมาย: เพิ่มมูลค่าที่ได้รับจากลูกค้าแต่ละรายให้สูงสุด ผ่านการเสนอขายสินค้าที่เกี่ยวข้อง (Cross-sell) หรือสินค้าที่ราคาสูงขึ้น (Up-sell)
- ความท้าทาย: การเสนอขายที่ไม่ถูกจังหวะ, การแนะนำสินค้าที่ไม่เกี่ยวข้อง
- กลยุทธ์: การวิเคราะห์ข้อมูลการซื้อ, การใช้ AI แนะนำสินค้าที่ใช่, การสร้างแคมเปญที่รู้ใจ
- ขั้นของการสนับสนุนและบอกต่อ (Advocacy):
- เป้าหมาย: เปลี่ยนลูกค้าที่พึงพอใจให้กลายเป็นผู้สนับสนุนแบรนด์ที่ทรงพลัง ช่วยทำการตลาดให้คุณโดยสมัครใจ
- ความท้าทาย: ลูกค้าพึงพอใจแต่ไม่เคยบอกต่อ
- กลยุทธ์: การสร้างโปรแกรมชวนเพื่อน (Referral Program), การกระตุ้นให้เกิดการรีวิว, การสร้างคอมมูนิตี้สำหรับแฟนคลับ
การเข้าใจในแต่ละขั้นตอนนี้ คือกุญแจดอกแรกในการออกแบบกลยุทธ์ Engagement ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
The Pillars of Lifetime Engagement – 5 เสาหลักในการสร้างกลยุทธ์ที่แข็งแกร่ง
การจะสร้าง Engagement ตลอดเส้นทางหลังการขายให้สำเร็จ ไม่สามารถทำได้ด้วยวิธีที่กระจัดกระจาย แต่ต้องอาศัยการวางโครงสร้างกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งบน 5 เสาหลักต่อไปนี้:
เสาหลักที่ 1: Personalized Onboarding ที่สร้างความประทับใจแรก
ความรู้สึกแรกหลังการขายสำคัญอย่างยิ่งยวด กลยุทธ์ Onboarding ที่ดีจะช่วยลดโอกาสที่ลูกค้าจะเปลี่ยนใจและเพิ่มความผูกพันตั้งแต่เริ่มต้น
- มากกว่าแค่ “ขอบคุณ”: แทนที่จะส่งอีเมลขอบคุณธรรมดา ลองสร้าง Journey การต้อนรับแบบหลายขั้นตอน (Multi-step Welcome Series)
- ให้ความรู้คือการบริการ: ส่งคอนเทนต์ที่เป็นประโยชน์ เช่น วิธีการใช้งาน, เคล็ดลับ, หรือกรณีศึกษาที่สร้างแรงบันดาลใจ
- การแบ่งกลุ่มลูกค้าตั้งแต่ต้น: ลูกค้าที่ซื้อสินค้า A ควรได้รับ Journey การ Onboarding ที่แตกต่างจากลูกค้าที่ซื้อสินค้า B
ตัวอย่างการใช้งานด้วย SAP Emarsys:
ลองจินตนาการถึงธุรกิจขายเครื่องสำอาง เมื่อลูกค้าซื้อ “เซรั่มลดริ้วรอย” เป็นครั้งแรก แทนที่จะส่งแค่ใบเสร็จ SAP Emarsys สามารถทริกเกอร์ “Onboarding Journey” แบบอัตโนมัติ:
- ทันทีหลังซื้อ: ส่งอีเมลต้อนรับ พร้อมวิดีโอสาธิตวิธีการใช้เซรั่มที่ถูกต้องจากผู้เชี่ยวชาญ
- วันที่ 3: ส่ง SMS พร้อมเคล็ดลับสั้นๆ “อย่าลืมใช้เซรั่มก่อนทาครีมกันแดดเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด”
- วันที่ 7: ส่งอีเมลแนะนำผลิตภัณฑ์เสริม (เช่น ครีมบำรุงรอบดวงตา) ที่ AI ของ Emarsys วิเคราะห์แล้วว่าลูกค้ากลุ่มนี้มักจะสนใจ
- วันที่ 21: ส่งอีเมลสอบถามความพึงพอใจและกระตุ้นให้เขียนรีวิว
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ สร้างประสบการณ์ที่ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ใส่ใจในทุกรายละเอียด
เสาหลักที่ 2: Proactive Communication ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
การรอให้ลูกค้ากลับมาหาเองคือการปล่อยให้โชคชะตากำหนดธุรกิจของคุณ การสื่อสารเชิงรุกที่ “ถูกคน ถูกที่ ถูกเวลา” คือหัวใจของการรักษาลูกค้า
- การสื่อสารตาม Lifecycle: สร้างแคมเปญอัตโนมัติสำหรับลูกค้าในแต่ละช่วง เช่น แคมเปญวันเกิด, แคมเปญฉลองครบรอบการเป็นสมาชิก, หรือแคมเปญ “เราคิดถึงคุณ” (Win-back) สำหรับลูกค้าที่ห่างหายไป
- การใช้ AI คาดการณ์: เทคโนโลยี AI ในปัจจุบันสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมและทำนายได้ว่าลูกค้าคนไหนมีแนวโน้มจะเลิกใช้บริการ (Churn Prediction) ทำให้เราสามารถยื่นข้อเสนอพิเศษเพื่อรั้งพวกเขาไว้ได้ทันท่วงที
- Omnichannel ที่ไร้รอยต่อ: ลูกค้าไม่ได้อยู่แค่ในอีเมล พวกเขาอยู่บนโซเชียลมีเดีย, SMS, และแอปพลิเคชัน การสื่อสารที่สอดคล้องกันในทุกช่องทางคือสิ่งจำเป็น
ตัวอย่างการใช้งานด้วย SAP Emarsys:
ธุรกิจ E-commerce ที่ขายอุปกรณ์กีฬา พบว่าลูกค้าที่ไม่ได้กลับมาซื้อของใน 90 วัน มีโอกาสสูงที่จะไม่กลับมาอีกเลย ด้วย SAP Emarsys พวกเขาสามารถสร้าง Automation Tactic ที่เรียกว่า “Win-back Program” ได้:
- เมื่อลูกค้าไม่ซื้อครบ 60 วัน: ระบบจะส่งอีเมลพร้อมคอนเทนต์ “5 เทรนด์การออกกำลังกายใหม่ล่าสุด” เพื่อกระตุ้นความสนใจ
- เมื่อครบ 75 วัน: หากยังไม่กลับมา ระบบจะส่ง Push Notification ผ่านแอปฯ พร้อมคูปองส่วนลดพิเศษ “คิดถึงคุณ! รับส่วนลด 15% สำหรับการสั่งซื้อครั้งถัดไป”
- เมื่อครบ 90 วัน: ระบบจะส่งอีเมลข้อเสนอสุดท้าย พร้อมสินค้าแนะนำที่ AI คัดมาให้โดยเฉพาะจากประวัติการซื้อในอดีต
กลยุทธ์นี้ช่วยดึงลูกค้าที่กำลังจะจากไปให้กลับมาได้ โดยไม่ต้องใช้ทีมงานมานั่งมอนิเตอร์ด้วยตนเอง
เสาหลักที่ 3: Loyalty Ecosystem ที่มอบ “คุณค่า” มากกว่า “ส่วนลด”
โปรแกรม Loyalty ที่ดีในยุคนี้ ไม่ใช่แค่การสะสมแต้ม แต่คือการสร้าง “ระบบนิเวศ” (Ecosystem) ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกเป็นคนพิเศษและอยากมีส่วนร่วม
- Tiered Loyalty: สร้างระดับของสมาชิก (เช่น Silver, Gold, Platinum) โดยแต่ละระดับจะได้รับสิทธิพิเศษที่แตกต่างกัน เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าอยากอัปเกรดตัวเอง
- Experiential Rewards: นอกจากส่วนลด ลองมอบรางวัลที่เป็น “ประสบการณ์” เช่น การเข้าร่วมเวิร์กช็อปสุดพิเศษ, การได้ทดลองสินค้าใหม่ก่อนใคร, หรือการได้พบปะกับผู้บริหาร
- สร้างคอมมูนิตี้: สร้างพื้นที่ (เช่น Facebook Group หรือ Forum บนเว็บ) ให้แฟนคลับของแบรนด์ได้มาแลกเปลี่ยนพูดคุยกัน สร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกัน
เสาหลักที่ 4: The Expansion Engine – กลไกการต่อยอดด้วย Smart Cross-sells & Up-sells
การเสนอขายสินค้าเพิ่มเติมคือศิลปะ หากทำถูกวิธีลูกค้าจะรู้สึกว่าคุณ “ช่วย” เขา แต่ถ้าทำผิดวิธีจะรู้สึกว่าคุณ “ยัดเยียด”
- Timing is Everything: อย่าเสนอขายสินค้าชิ้นต่อไปเร็วเกินไป ควรให้เวลาลูกค้าได้ใช้และรับรู้คุณค่าของสินค้าชิ้นแรกก่อน
- AI-Powered Recommendations: ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลการซื้อของลูกค้าทั้งหมดเพื่อหา “สินค้าชิ้นต่อไปที่ดีที่สุด” (Next Best Offer) สำหรับลูกค้าแต่ละรายโดยเฉพาะ ซึ่งแม่นยำกว่าการคาดเดาของมนุษย์
- Bundling & Solutions: แทนที่จะขายสินค้าเดี่ยวๆ ลองจัดเป็นชุด “โซลูชั่น” เพื่อแก้ปัญหาของลูกค้า เช่น “ชุดเริ่มต้นสำหรับนักวิ่ง” ที่รวมทั้งรองเท้า, เสื้อผ้า, และนาฬิกา
ตัวอย่างการใช้งานด้วย SAP Emarsys:
ร้านขายของแต่งบ้านออนไลน์ใช้ SAP Emarsys เพื่อขับเคลื่อนกลไก Expansion Engine:
- เมื่อลูกค้าซื้อ “โซฟา” ระบบจะยังไม่เสนอขายพรมหรือโต๊ะกาแฟทันที แต่จะรอ 14 วัน
- ในระหว่างนั้น ระบบจะวิเคราะห์ข้อมูลว่าลูกค้าที่ซื้อโซฟารุ่นนี้ส่วนใหญ่ มักจะกลับมาซื้อสินค้าอะไรเป็นชิ้นถัดไป
- ในวันที่ 14 ระบบจะส่งอีเมลในหัวข้อ “ไอเดียจัดห้องนั่งเล่นให้สมบูรณ์แบบ” ซึ่งในอีเมลจะมีรูปภาพสวยๆ และสินค้าแนะนำที่ AI คัดมาแล้ว เช่น โต๊ะกาแฟรุ่น X และพรมรุ่น Y ที่เข้าชุดกันอย่างลงตัว พร้อมลิงก์ให้กดซื้อง่ายๆ
- นอกจากนี้ บนหน้าเว็บไซต์เมื่อลูกค้าคนนี้ล็อกอินเข้ามา แบนเนอร์และสินค้าแนะนำจะถูกปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสิ่งที่ AI วิเคราะห์มาโดยอัตโนมัติ
เสาหลักที่ 5: From Satisfaction to Advocacy – เปลี่ยนความพึงพอใจให้เป็นการบอกต่อ
ลูกค้าที่เงียบคือลูกค้าที่พึงพอใจ แต่ลูกค้าที่ส่งเสียงคือผู้สนับสนุนแบรนด์ (Advocate) หน้าที่ของเราคือการกระตุ้นให้พวกเขาเริ่มส่งเสียง
- ทำให้การรีวิวง่ายที่สุด: หลังลูกค้าได้รับสินค้าและใช้งานไประยะหนึ่ง ให้ส่งอีเมลหรือ SMS พร้อมลิงก์ตรงไปยังหน้าเขียนรีวิว ลดขั้นตอนที่ยุ่งยากออกไป
- สร้าง Referral Program ที่คุ้มค่า: ออกแบบโปรแกรม “เพื่อนชวนเพื่อน” ที่มอบรางวัลที่น่าดึงดูดใจให้กับทั้งผู้ชวนและเพื่อนใหม่
- เซอร์ไพรส์และสร้างความยินดี (Surprise & Delight): ลองส่งของขวัญเล็กๆ น้อยๆ หรือข้อความขอบคุณส่วนตัวให้กับลูกค้าระดับ Top Spender โดยไม่คาดคิด สิ่งเหล่านี้จะถูกนำไปเล่าต่อบนโซเชียลมีเดียอย่างแน่นอน
The Technology Enabler – SAP Emarsys คือจิ๊กซอว์ที่เชื่อมทุกอย่างเข้าด้วยกัน
กลยุทธ์ทั้ง 5 เสาหลักที่กล่าวมาจะเกิดขึ้นได้ยากและไม่มีประสิทธิภาพหากยังคงทำงานแบบ Manual และข้อมูลลูกค้ายังกระจัดกระจาย นี่คือจุดที่ Customer Engagement Platform อย่าง SAP Emarsys เข้ามามีบทบาทสำคัญในฐานะ “สมองกล” ของกลยุทธ์
- Single Customer View: Emarsys รวบรวมข้อมูลลูกค้าจากทุกช่องทาง (เว็บไซต์, แอปฯ, การซื้อหน้าร้าน, การเปิดอีเมล) มาไว้ในที่เดียว ทำให้เราเห็นภาพลูกค้าคนนั้นแบบ 360 องศา
- Visual Automation Center: ช่วยให้นักการตลาดสามารถออกแบบ Customer Journey ที่ซับซ้อน (เช่น Onboarding หรือ Win-back Journey) ได้ง่ายๆ ผ่านการลากและวาง โดยไม่ต้องเขียนโค้ด
- AI ที่ใช้งานได้จริง: AI ของ Emarsys ไม่ได้เป็นแค่ Buzzword แต่ถูกฝังอยู่ในทุกส่วนของแพลตฟอร์ม ตั้งแต่การแบ่งกลุ่มลูกค้าอัตโนมัติ, การคาดการณ์การเลิกใช้, ไปจนถึงการแนะนำสินค้าและเวลาที่ควรส่งการสื่อสาร
- True Omnichannel Execution: ไม่ว่าคุณจะต้องการส่งอีเมล, SMS, Push Notification, หรือยิงโฆษณาไปยังลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย คุณสามารถจัดการและวัดผลได้จากแพลตฟอร์มเดียว
การมี SAP Emarsys ก็เปรียบเสมือนการมีทีมงานการตลาด, นักวิเคราะห์ข้อมูล และผู้เชี่ยวชาญด้านลูกค้าสัมพันธ์ที่ทำงานร่วมกันอย่างอัตโนมัติและไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยตลอด 24 ชั่วโมง
Your Roadmap to Lifetime Engagement – เริ่มต้นวันนี้เพื่อชัยชนะในวันหน้า
การเปลี่ยนแปลงไปสู่โมเดล “Beyond the Purchase” คือการเดินทางที่ต้องอาศัยความมุ่งมั่นจากผู้บริหาร นี่คือ Roadmap สำหรับการเริ่มต้น:
- Audit & Assess (สำรวจและประเมิน): ปัจจุบันองค์กรของคุณให้ความสำคัญกับ Post-Purchase Journey มากน้อยแค่ไหน? เรามีข้อมูลอะไรบ้าง? เราใช้เครื่องมืออะไรอยู่?
- Define a Pilot Project (กำหนดโครงการนำร่อง): อย่าเพิ่งพยายามทำทุกอย่างพร้อมกัน ลองเลือกเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น “ลด Churn Rate ลง 5%” หรือ “เพิ่ม Repeat Purchase Rate ขึ้น 10%” และเริ่มจากโครงการเล็กๆ ก่อน เช่น การสร้าง Win-back Campaign
- Invest in the Right Technology (ลงทุนในเทคโนโลยีที่ใช่): มองหาแพลตฟอร์มที่สามารถรวบรวมข้อมูล, ทำ Automation, และมี AI ที่ช่วยทุ่นแรงได้จริง ซึ่ง SAP Emarsys ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์เหล่านี้โดยเฉพาะ
- Measure, Learn, Optimize (วัดผล, เรียนรู้, ปรับปรุง): กำหนดตัวชี้วัด (KPIs) ที่สำคัญ เช่นLTV, Churn Rate, Repeat Purchase Rate, และ Net Promoter Score (NPS) เพื่อติดตามผลและปรับปรุงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง
บทสรุป:
การแข่งขันในอนาคตจะตัดสินกันที่ว่าใครสามารถสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ลึกซึ้งกว่ากัน ชัยชนะไม่ได้อยู่แค่การปิดการขาย แต่คือการสร้างวงจรแห่งความภักดีที่ไม่มีที่สิ้นสุด การลงทุนในกลยุทธ์และเทคโนโลยีสำหรับ “Beyond the Purchase” ในวันนี้ คือการลงทุนเพื่อสร้างกำแพงป้องกันคู่แข่งและหลักประกันการเติบโตที่ยั่งยืนที่สุดสำหรับองค์กรของคุณในวันข้างหน้า
ก้าวสู่ขั้นต่อไป…
บทความนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเดินทาง หากท่านผู้บริหารต้องการเจาะลึกในแต่ละกลยุทธ์ ชมการสาธิตการทำงานจริงของเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนลูกค้าให้กลายเป็นแฟนพันธุ์แท้ หากคุณสนใจในโซลูชั่นของ SAP Enmarsys คุณสามารถคุยกับที่ปรึกษาของเราได้ บริษัท ซันเด โซลูชันส์ จำกัด โทร 026348899 อีเมล sales@sundae.co.th
SAP Emarsys เหมาะกับใคร?
ด้วยความสามารถที่ยืดหยุ่นและปรับแต่งได้ SAP Emarsys จึงเหมาะกับหลากหลายอุตสาหกรรมที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าโดยตรง (Direct-to-Consumer) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง:
- ธุรกิจค้าปลีกและอีคอมเมิร์ซ (Retail & E-commerce)
- สินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Goods)
- กีฬาและความบันเทิง (Sports & Entertainment)
- โรงแรมและการท่องเที่ยว (Hospitality & Travel)
- สื่อและการสื่อสาร (Communications & Media)
บทสรุป
SAP Emarsys ไม่ใช่แค่เครื่องมือทำการตลาด แต่เป็นแพลตฟอร์มที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้นักการตลาดสามารถเปลี่ยนข้อมูลที่มีอยู่ให้กลายเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจสำหรับลูกค้า และแปรเปลี่ยนเป็นผลลัพธ์ทางธุรกิจที่จับต้องได้ หากคุณกำลังมองหาโซลูชันที่จะช่วยให้การทำการตลาดแบบรู้ใจลูกค้าเป็นเรื่องง่าย, ทำงานได้เร็วขึ้น, และวัดผลได้จริง SAP Emarsys คือคำตอบที่คุณไม่ควรมองข้าม
เอกสารเพิ่มเติม
สอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับ SAP Emarsys ติดต่อ
Sundae Solutions Co., Ltd.
T| +6626348899 E| sales@sundae.co.th
- กันยายน 17, 2025
- Posted by: sundaeadmin
- Category: Articles-TH

