ศึกชิงผู้นำ AI: ใครจะครองสมรภูมิเทคโนโลยีโลก?

ในปัจจุบัน สมรภูมิ AI กำลังดุเดือดอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแข่งขันระหว่างยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี ผู้เชี่ยวชาญมองว่านี่คือ จุดเปลี่ยนเกม” (game-changing moment) ที่สำคัญเทียบเท่ากับการเปลี่ยนผ่านจากยุค PC สู่ยุคอินเทอร์เน็ต และจากอินเทอร์เน็ตสู่โซเชียลมีเดีย สิ่งที่เรากำลังมุ่งหน้าไปคือยุคของ AGI (Artificial General Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ที่มีความสามารถเทียบเท่าหรือเหนือกว่ามนุษย์ ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักที่ทุกบริษัทกำลังแย่งชิงกัน หากบริษัทใดพลาดเทรนด์นี้ไป อาจถึงขั้นล่มสลายได้ โดยเฉพาะบริษัท Tech ขนาดใหญ่

ศึกชิงผู้นำ AI: ใครจะครองสมรภูมิเทคโนโลยีโลก?

จาก Generative AI สู่ AGI และผู้เล่นหลักในสมรภูมิ

ก่อนหน้านี้เราได้เห็นความก้าวหน้าของ Generative AI ซึ่งสามารถสร้างสรรค์เนื้อหาใหม่ๆ ได้ ปัจจุบัน OpenAI เป็นผู้นำในตลาด Chat/GPT ที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงสุด การเติบโตของ OpenAI ทำให้ค่ายใหญ่อื่นๆ เช่น Google, Meta (Facebook) และ X ของ Elon Musk (Grok) ต้องเร่งพัฒนา AI ของตนเองเพื่อไม่ให้เสียส่วนแบ่งตลาด

  • OpenAI จับมือกับ Microsoft ออก ChatGPT
  • Google ก็พัฒนา AI ของตนเองตามมา
  • Meta (Facebook) ซึ่งก่อนหน้านี้เคยทุ่มเทให้กับ Metaverse แต่ไม่ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนจากบริษัทโซเชียลมีเดียสู่เมตาเวิร์ส จึง ทุ่มงบประมาณและทรัพยากรทั้งหมดมาทำ AI และต้องการเป็นผู้นำด้าน AI ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ Mark Zuckerberg มองว่า Meta จะต้องไม่พลาดขบวน AI นี้ Meta ถึงขนาดมีการ เข้าซื้อและลงทุนในบริษัท AI เช่น Alexander Wang ที่ทำ AI ด้าน Scale ด้วยมูลค่ากว่า 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รวมถึง การดึงตัวผู้บริหารและนักพัฒนา AI ฝีมือดี จาก OpenAI, Google และ Apple มาร่วมทีม
  • X ของ Elon Musk ก็มี AI ของตัวเองอย่าง Grok ที่พยายามพัฒนาการสื่อสารด้วยเสียงให้เหมือนคุยกับคน
  • นอกจากนี้ ยังมีการแข่งขันกับ ค่ายจีน ที่มี AI ที่น่าสนใจหลายตัว เช่น DeepSeek ซึ่งโดดเด่นในด้าน Open Source Model ที่ให้นักพัฒนาต่อยอดได้ง่ายขึ้น

 

ทำไมการแข่งขันถึงดุเดือด?

AI ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี การแข่งขันนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของเทคโนโลยีอีกต่อไป แต่ AI ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันและธุรกิจของทุกคน ธุรกิจต่างๆ ใช้ AI เพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน มีการสำรวจพบว่ากว่า 90% ของธุรกิจในประเทศไทยใช้ AI แล้ว นี่จึงเป็นเหตุผลที่ผู้ให้บริการ AI ต้องแข่งขันกันอย่างหนักเพื่อครองตลาด

กลยุทธ์การแย่งชิง “ประตูแรก”: เบราว์เซอร์ AI และการผนวกอุปกรณ์ ในอดีต Google Chrome เคยครองตลาดเบราว์เซอร์อย่างเบ็ดเสร็จ เปรียบเสมือน ประตูแรก” ในการเข้าถึงคอมพิวเตอร์และข้อมูล ปัจจุบัน OpenAI กำลังจะเปิดตัว AI Browser ที่จะผนวกรวม ChatGPT และการค้นหาข้อมูลเข้าไว้ในตัวเบราว์เซอร์เดียว เพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมผู้ใช้งานและเก็บข้อมูลได้มากขึ้น สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า การพัฒนา AI ไม่ใช่แค่เรื่องการสร้างศักยภาพของ AI เพียงอย่างเดียว แต่การทำให้ AI สามารถ “ผสานรวม” (integrate) กับระบบอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่างหากคือสิ่งที่ยากและสำคัญกว่า

นอกจากซอฟต์แวร์แล้ว บริษัทยักษ์ใหญ่ยังพยายาม ผนวก AI เข้ากับอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อให้การใช้งาน AI เป็นธรรมชาติมากขึ้น เช่น:

  • Meta (Facebook) ลงทุนใน Ray-Ban และ Google ลงทุนในบริษัทแว่นตาของเกาหลี โดยมองว่า แว่นตาจะเป็นอุปกรณ์สำคัญในอนาคต ที่จะทำให้การใช้ AI เป็นธรรมชาติมากขึ้น ไม่ต้องพิมพ์แต่ใช้การพูดคุยแทน
  • OpenAI จับมือกับ Jony Ive อดีตผู้ออกแบบ iPhone ของ Apple เพื่อพัฒนา อุปกรณ์สมาร์ทโฟนแบบใหม่ในอนาคตที่อาจไม่มีปุ่ม หรือมีขนาดเล็กที่สุด ซึ่งการสื่อสารจะไม่ผ่านหน้าจอเพียงอย่างเดียว
  • AI ยังถูกผนวกเข้ากับ รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ อย่าง Tesla และใน รถยนต์ไฟฟ้า ที่ใช้คำสั่งเสียงในการควบคุมฟังก์ชันต่างๆ รวมถึงการใช้กล้องและเซ็นเซอร์ AI เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่

 

AI ใช้ได้ในทุกวงการ: จากสำนักงานสู่ไซต์ก่อสร้าง

AI ไม่ได้จำกัดอยู่แค่วงการเทคโนโลยีเท่านั้น แต่สามารถนำไปใช้ได้ในทุกอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นการเงิน, การธนาคาร, การแพทย์, สาธารณสุข, การผลิต, ค้าปลีก, การขนส่ง, โลจิสติกส์, เกษตรกรรม, การสื่อสาร แม้กระทั่งใน ธุรกิจก่อสร้าง ก็สามารถใช้ AI ในการวิเคราะห์โครงสร้างอาคาร หรือใช้กล้อง AI ในการ ตรวจสอบความปลอดภัยของคนงาน ในไซต์งาน เพื่อตรวจจับว่ามีการสวมหมวกนิรภัยหรือแต่งกายครบชุดหรือไม่

ธุรกิจต้องปรับตัว: ลงทุน พัฒนา และเปิดรับการเปลี่ยนแปลง เจ้าของธุรกิจจึงไม่สามารถละเลยเรื่อง AI ได้อีกต่อไป พวกเขาต้อง ทำความเข้าใจความก้าวหน้าของ AI เพื่อกำหนดกลยุทธ์ที่ชัดเจน ซึ่งรวมถึง การลงทุนในเทคโนโลยี (ฮาร์ดแวร์, ซอฟต์แวร์, โครงสร้างพื้นฐานข้อมูล) ที่สำคัญคือต้อง พัฒนาบุคลากรในบริษัท และ สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดรับการเปลี่ยนแปลง ในเรื่อง AI ด้วย ผู้ที่สามารถนำ AI มา ประยุกต์ใช้ (apply) และเชื่อมต่อกับระบบอื่น (integrate) ได้ดีกว่า จะเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ

 

ผู้ได้รับประโยชน์จากสงคราม AI: ผู้ใช้งานและ “มนุษย์ทองคำ AI”

แม้การแข่งขันจะดุเดือด แต่ก็เป็น โอกาสที่ดีสำหรับผู้ใช้งาน (user) เพราะการแข่งขันจะทำให้เกิดฟีเจอร์และฟังก์ชันใหม่ๆ รวมถึงทางเลือกของซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชัน AI ที่หลากหลายขึ้น

นอกจากผู้ใช้งานแล้ว นักพัฒนาและบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถด้าน AI ก็จะได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล พวกเขาถูกเรียกว่า มนุษย์ทองคำในยุคใหม่” หรือ “มนุษย์ทองคำ AI” หากใครมีความเชี่ยวชาญด้าน AI และสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจได้ ก็จะได้รับประโยชน์สูงสุด ตัวอย่างเช่น การนำ AI มาช่วยใน งานบริการลูกค้า ผ่านการแชทหรือสนทนา ซึ่งลูกค้าจะได้รับคำตอบที่ถูกต้องและรวดเร็ว ไม่ต่างจากการคุยกับคน

บทสรุปของสงคราม AI ในวันนี้ยังไม่สามารถตัดสินผู้ชนะได้อย่างเด็ดขาด เพราะทุกฝ่ายยังคง เผาเงิน” เพื่อลงทุนในตลาดนี้อย่างมหาศาล เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่ง หลายคนหวังว่าการแข่งขันนี้จะไม่จบลงด้วยการผูกขาดตลาดของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง เพราะการมีผู้เล่นหลายรายที่ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ จะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อผู้ใช้งาน

เสมือนกับ การแข่งขันในตลาดโอลิมปิกของเทคโนโลยี ที่นักกีฬาแต่ละทีมต่างทุ่มเทฝึกฝนและคิดค้นกลยุทธ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ ผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดไม่ใช่เพียงผู้ที่ชนะเหรียญทอง แต่คือผู้ชมที่ได้เห็นการพัฒนาและทำลายสถิติใหม่ๆ รวมถึงโค้ชและทีมงานเบื้องหลังที่ได้แสดงศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่

สอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับ  Freshsales Suite และ Freddy AI Agent ติดต่อ

Sundae Solutions Co., Ltd.

T| +6626348899  E| sales@sundae.co.th

W| https://www.sundae.co.th/solution/crm-and-customer-experience/freshworks/