สถานการณ์ AI ปี 2025: ยุคแห่ง Agents นวัตกรรม และการเปลี่ยนผ่านสู่สเกลจริง

บทนำ: ก้าวข้ามจาก “การตื่นรู้” สู่ “การลงมือทำจริง” ในยุค Agentic AI

หากปี 2023 คือปีแห่งการ “ตื่นตัว” (Breakout Year) ของ Generative AI และปี 2024 คือปีแห่งการ “ทดลอง” รายงานล่าสุดจาก McKinsey ในปี 2025 นี้ได้ชี้ชัดว่าเรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่เรียกว่า“Agentic AI” หรือยุคที่ AI ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่สร้างเนื้อหา (Generative) อีกต่อไป แต่เริ่มมีความสามารถในการ “กระทำ” (Act) “วางแผน” (Plan) และดำเนินงานหลายขั้นตอนได้ด้วยตัวเอง

 

จากการสำรวจผู้บริหารและพนักงานในองค์กรทั่วโลก พบตัวเลขที่น่าตกใจว่า 88% ขององค์กรในปัจจุบันมีการใช้งาน AI ในฟังก์ชันทางธุรกิจอย่างน้อยหนึ่งฟังก์ชัน (เพิ่มขึ้นจาก 78% ในปีก่อนหน้า) ตัวเลขนี้บ่งบอกว่า AI ได้กลายเป็น “เครื่องมือสามัญ” (Commonplace) ในโลกธุรกิจไปแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม ภายใต้ตัวเลขการยอมรับ (Adoption) ที่สูงลิ่วนี้ กลับซ่อนความจริงที่ท้าทายอยู่ประการหนึ่ง นั่นคือ กับดักของการขยายผล” (Scaling Challenge) องค์กรส่วนใหญ่ยังคงติดอยู่ในระยะทดลอง (Pilot Phase) และยังไม่สามารถฝัง AI เข้าไปในกระบวนการทำงานหลักได้ลึกพอที่จะสร้างผลกำไรระดับองค์กร (Enterprise-level bottom line) ได้อย่างมีนัยสำคัญ

บทความนี้จะเจาะลึกถึงสถานะปัจจุบันของ AI ในปี 2025 การอุบัติขึ้นของ Agentic AI และถอดรหัสว่าองค์กรกลุ่มผู้นำ (High Performers) ทำอย่างไรถึงสามารถสร้างมูลค่ามหาศาลได้ ในขณะที่องค์กรอื่นยังคงดิ้นรนอยู่

สถานการณ์ AI ปี 2025: ยุคแห่ง Agents นวัตกรรม และการเปลี่ยนผ่านสู่สเกลจริง (บทความเจาะลึกฉบับสมบูรณ์)

ส่วนที่ 1: กำเนิด Agentic AI — เมื่อ AI เริ่ม “คิดและทำ” แทนมนุษย์

หนึ่งในไฮไลท์สำคัญที่สุดของปี 2025 คือการก้าวกระโดดจาก Generative AI แบบเดิม สู่ระบบ Agentic AI

Agentic AI คืออะไร?

 

ต่างจาก Chatbot ทั่วไปที่รอรับคำสั่งแล้วตอบกลับ Agentic AI คือระบบที่สร้างบนพื้นฐานของ Foundation Models ที่มีความสามารถในการ:

  1. วางแผน (Planning): แตกงานใหญ่ออกเป็นขั้นตอนย่อยๆ
  2. ดำเนินการ (Executing): ลงมือทำตามขั้นตอนเหล่านั้นในโลกดิจิทัลจริง
  3. ทำงานหลายขั้นตอน (Multi-step workflow): เชื่อมโยงงานต่างๆ เข้าด้วยกันโดยไม่ต้องรอมนุษย์สั่งทุกครั้ง

สถานะการใช้งานในปัจจุบัน

  • 23% ขององค์กรรายงานว่ากำลังขยายผล (Scaling) ระบบ Agentic AI ในอย่างน้อยหนึ่งฟังก์ชัน
  • 39% กำลังอยู่ในช่วงทดลอง (Experimenting)
  • ความนิยมตามอุตสาหกรรม: กลุ่มเทคโนโลยี (Technology), สื่อและโทรคมนาคม (Media & Telco), และสาธารณสุข (Healthcare) คือผู้นำในการนำ Agentic AI มาใช้
  • ฟังก์ชันที่ใช้งานสูงสุด: งานด้าน IT (เช่น การจัดการ Service Desk อัตโนมัติ) และการจัดการองค์ความรู้ (Knowledge Management – เช่น การค้นคว้าวิจัยเชิงลึก)

 

แม้กระแสความสนใจจะสูงมาก (Hype Cycle) แต่ในความเป็นจริง การใช้งาน Agentic AI ยังคงจำกัดอยู่ในวงแคบ ส่วนใหญ่ (Most) ของผู้ที่เริ่มใช้ ยังคงใช้ใน 1-2 ฟังก์ชันเท่านั้น ยังไม่กระจายไปทั่วทั้งองค์กร

 

ส่วนที่ 2: ภาพรวมการใช้งาน (Adoption) และช่องว่างของการขยายผล (The Scaling Gap)

การเติบโตที่กระจายตัว (Broadening Use)

ในปี 2025 เราเห็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า AI ไม่ได้กระจุกตัวอยู่แค่บริษัทเทคโนโลยีอีกต่อไป

  • อุตสาหกรรมสื่อ โทรคมนาคม และประกันภัย: มีอัตราการใช้ AI เทียบเท่ากับบริษัท Tech แล้ว
  • ฟังก์ชันยอดนิยม:
    1. IT (Software Engineering)
    2. การตลาดและการขาย (Marketing & Sales)
    3. น้องใหม่มาแรง: การจัดการองค์ความรู้ (Knowledge Management)
  • ความลึกของการใช้: มากกว่า 2 ใน 3 ขององค์กรใช้ AI ใน มากกว่า 1 ฟังก์ชัน และครึ่งหนึ่งใช้ใน 3 ฟังก์ชันขึ้นไป

 

วิกฤต “Pilot Purgatory” (ติดหล่มการทดลอง)

แม้จะมีการใช้งานกว้างขวาง แต่เมื่อถามถึง “การใช้งานจริงแบบขยายผลทั้งองค์กร” (Scaling across enterprise):

  • 2/3 ขององค์กร ยังคงอยู่ในเฟสทดลอง (Experimenting/Piloting)
  • มีเพียง 1/3 เท่านั้นที่เริ่มขยายผล (Scaling) อย่างจริงจัง

 

ปัจจัยเรื่องขนาดองค์กร: บริษัทขนาดใหญ่ (รายได้มากกว่า 5 พันล้านดอลลาร์) มีแนวโน้มที่จะขยายผล AI ได้สำเร็จมากกว่าบริษัทขนาดเล็ก (รายได้ต่ำกว่า 100 ล้านดอลลาร์) เกือบ 2 เท่า (50% เทียบกับ 29%) เนื่องจากความพร้อมด้านทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐาน

 

ส่วนที่ 3: ผลกระทบทางธุรกิจ (Business Impact) — กำไรอยู่ที่ไหน?

คำถามสำคัญที่ผู้บริหารทุกคนถามคือ “ลงทุน AI ไปแล้ว ได้เงินคืนหรือยัง?”

 

ผลกระทบต่อกำไร (EBIT)

  • มีเพียง 39% ขององค์กรที่รายงานว่า AI ส่งผลกระทบต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี (EBIT)
  • ในจำนวนนี้ ส่วนใหญ่บอกว่าผลกระทบยังน้อยกว่า 5% ของ EBIT ทั้งหมด

 

ผลกระทบเชิงคุณภาพ (Qualitative Benefits)

แม้ตัวเลขทางการเงินระดับองค์กรอาจยังไม่ชัดเจนในวงกว้าง แต่ประโยชน์ในด้านอื่นกลับเห็นผลชัดเจน:

  • นวัตกรรม (Innovation): เสียงส่วนใหญ่ (Majority) ระบุว่า AI ช่วยเร่งกระบวนการสร้างนวัตกรรม
  • ความพึงพอใจ: เกือบครึ่งระบุว่าลูกค้าและพนักงานมีความพึงพอใจมากขึ้น
  • ความได้เปรียบทางการแข่งขัน: เริ่มเห็นความแตกต่างระหว่างผู้ใช้และไม่ใช้

 

แหล่งที่มาของมูลค่า (Value Sources)

  • ลดต้นทุน (Cost Reduction): เห็นผลชัดเจนที่สุดในงาน Software Engineering, การผลิต (Manufacturing), และ IT
  • เพิ่มรายได้ (Revenue Increase): เห็นผลชัดเจนที่สุดใน Marketing & Sales และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product Development)

ส่วนที่ 4: ถอดรหัส “AI High Performers” — ผู้นำเขาทำอะไรต่าง?

จากการสำรวจ McKinsey ได้นิยามกลุ่ม “AI High Performers” (ซึ่งมีประมาณ 6% ของผู้ตอบแบบสอบถาม) ว่าเป็นกลุ่มที่สามารถสร้างผลกระทบต่อ EBIT ได้มากกว่า 5% และได้รับคุณค่าจาก AI อย่างมีนัยสำคัญ อะไรคือสูตรลับของพวกเขา?

 

1. มองไกลกว่าแค่ “ลดต้นทุน” (Beyond Efficiency)

ในขณะที่องค์กรทั่วไปตั้งเป้าหมายเรื่อง “ประสิทธิภาพ” (Efficiency) เป็นหลัก กลุ่ม High Performers จะตั้งเป้าหมายที่ “การสร้างการเติบโต” (Growth) และ “นวัตกรรม” (Innovation)

  • พวกเขามีแนวโน้มมากกว่าถึง 3 เท่า ที่จะใช้ AI เพื่อ “พลิกโฉมธุรกิจ” (Transformative Change)แทนที่จะแค่ปรับปรุงกระบวนการเดิมเล็กๆ น้อยๆ

 

2. การมีส่วนร่วมของผู้นำ (Leadership Ownership)

ในองค์กรกลุ่มผู้นำ ผู้บริหารระดับสูงไม่ได้แค่ “อนุญาต” ให้ทำ แต่ “ลงมือ” เป็นเจ้าภาพด้วยตัวเอง (Ownership) และเป็นแบบอย่างในการใช้งาน (Role Modeling)

 

3. กล้าเสี่ยงและกล้ารับมือ (Risk & Reward)

ข้อมูลที่น่าสนใจคือ High Performers รายงานการพบเจอ “ผลกระทบเชิงลบ” (Negative Consequences) จาก AI มากกว่า องค์กรทั่วไป

  • เหตุผล: ไม่ใช่เพราะพวกเขาจัดการไม่ดี แต่เพราะพวกเขากล้านำ AI ไปใช้ในงานที่สำคัญยิ่งยวด (Mission-Critical) และมีความตระหนักรู้ในการตรวจจับความเสี่ยงมากกว่า
  • พวกเขาลงทุนสร้างระบบป้องกันและตรวจสอบที่เข้มข้นกว่า โดยเฉพาะเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา (IP) และความถูกต้องของข้อมูล

 

4. โมเดลที่ปรับแต่ง (Customization)

กลุ่มผู้นำมักไม่ใช้ Model สำเร็จรูป (Off-the-shelf) เพียงอย่างเดียว แต่มีการปรับแต่ง (Customize) หรือสร้างโมเดลของตนเองเพื่อให้เข้ากับบริบทธุรกิจ

 

5. การออกแบบกระบวนการทำงานใหม่ (Workflow Redesign)

กุญแจสำคัญที่สุดคือ High Performers ไม่ได้แค่เอา AI ไป “แปะ” ในงานเดิม แต่พวกเขา “รื้อและสร้าง” (Rewire/Redesign) กระบวนการทำงานใหม่เพื่อให้มนุษย์และ AI ทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ

 

ส่วนที่ 5: คนกับ AI — อนาคตของแรงงาน (Workforce & Talent)

ความกังวลว่า AI จะมาแย่งงานมนุษย์เป็นเรื่องจริงหรือไม่? ข้อมูลปี 2025 ให้คำตอบที่หลากหลาย

การเปลี่ยนแปลงขนาดทีม (Workforce Sizing)

เมื่อถามถึงคาดการณ์ในปีถัดไป:

  • 32% คาดว่าจำนวนพนักงานจะ ลดลง
  • 43% คาดว่าจะ เท่าเดิม (แต่เปลี่ยนรูปแบบงาน)
  • 13% คาดว่าจะ เพิ่มขึ้น

 

ทักษะที่ต้องการ (Talent Demand)

ตลาดยังคงต้องการคนทำงานด้าน AI อย่างมหาศาล โดยเฉพาะ:

  • Data Engineers
  • Software Engineers
  • และบทบาทใหม่ๆ เช่น AI Compliance Specialists (ผู้เชี่ยวชาญด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบ AI)

 

การ Reskill

องค์กรส่วนใหญ่เริ่มตระหนักว่าการจ้างคนใหม่อาจไม่ทันการณ์ จึงเริ่มหันมาเน้นการฝึกอบรมพนักงานเดิม (Reskilling) อย่างจริงจัง เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับ Agentic AI ได้

 

ส่วนที่ 6: ความเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง (Risks & Challenges)

แม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้า แต่ความเสี่ยงเดิมๆ ยังคงอยู่และซับซ้อนขึ้น

  1. ความไม่ถูกต้อง (Inaccuracy/Hallucination): ยังคงเป็นความเสี่ยงอันดับ 1 ที่องค์กรเกือบ 1 ใน 3 ประสบพบเจอ
  2. ทรัพย์สินทางปัญญา (IP Infringement): เป็นประเด็นที่กลุ่ม High Performers ให้ความสำคัญสูงสุด
  3. ความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity): ภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่มาพร้อมกับ AI Agents
  4. ความสามารถในการอธิบายได้ (Explainability): การที่ AI ตัดสินใจเองได้ (Agentic) ทำให้ยากขึ้นที่จะอธิบายว่าทำไมมันถึงทำแบบนั้น

บทสรุป: เส้นทางสู่อนาคต

รายงานปี 2025 ของ McKinsey สรุปไว้อย่างชัดเจนว่า ยุคของการ “ตื่นเต้น” กับ AI จบลงแล้ว ตอนนี้เราอยู่ในยุคของ “ของจริง” (The Real Work)

 

องค์กรที่จะอยู่รอดและเติบโตไม่ใช่ผู้ที่เพียงแค่ “ใช้” AI (เพราะใครๆ ก็ใช้) แต่คือผู้ที่สามารถ:

  1. เปลี่ยนจากการทดลอง สู่การขยายผล (Scale)
  2. เปลี่ยนจาก Generative สู่ Agentic (เพิ่มความเป็นอัตโนมัติ)
  3. เปลี่ยนจากการลดต้นทุน สู่การสร้างนวัตกรรมใหม่
  4. ให้ความสำคัญกับการออกแบบกระบวนการทำงานใหม่ (Workflow Redesign) พอๆ กับตัวเทคโนโลยี

 

นี่คือจุดตัดสำคัญที่แบ่งแยกระหว่าง “ผู้ตาม” และ “ผู้นำ” ในสมรภูมิธุรกิจยุคถัดไป

 

เรียบเรียงโดยอ้างอิงข้อมูลเชิงลึกจาก: McKinsey Global Survey on AI, 2025

https://www.mckinsey.com/capabilities/quantumblack/our-insights/the-state-of-ai#

สอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับ  Freshworks ติดต่อ

Sundae Solutions Co., Ltd.

T| +6626348899  E| sales@sundae.co.th

W| https://www.sundae.co.th/solution/crm-and-customer-experience/freshworks/

DISPL 2